วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อดีตเมืองขุขันธ์

แผนที่โบราณเมืองขุขันธ์ในอดีต
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในอนาจักรขอมโบราณ




แผนที่เมืองขุขันธ์ในอดีต
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา บริเวณที่เป็นเขตจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ ในปัจจุบันนี้ เดิมเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวกวยและเขมร ซึ่งเรียกโดยรวมว่า เขมรป่าดง มีชุมชนที่สำคัญคือ บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ซึ่งต่อมาได้ยกฐานะเป็น เมืองขุขันธ์ปีพุทธศักราช ๒๓๐๒ รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ แห่งกรุงศรีอยุธยา พญาช้างเผือกได้แตกโรงไปอยู่รวมกับโขลงช้างป่าในเขตภูเขาพนมดงเร็ก จึงโปรดเกล้าฯให้ทหารเอกคู่พระทัย ( ทองด้วงและบุญมา) นำไพร่พลออกติดตามโดยได้รับการช่วยเหลือจาก ตากะจะ หรือตาไกร หัวหน้ากลุ่มชนบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนและเชียงขัน ร่วมกับหัวหน้ากลุ่มชนชาวเขมรป่าดงที่ชำนาญการจับช้างคือ เชียงปุม แห่งบ้านเมืองที เชียงสี แห่งบ้านกุดหวาย เชียงฆะ แห่งบ้านอัจจะปะนึง และเชียงไชย แห่งบ้านจาระพัด ออกติดตามจนพบ สามารถจับพญาช้างเผือกได้ และตามคณะนำส่งถึงกรุงศรีอยุธยาพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ ตากะจะหรือพระยาไกร เป็นหลวงแก้วสุวรรณ ตำแหน่งนายกองหัวหน้าหมู่บ้านและเชียงขันเป็นหลวงปราบผู้ช่วยปี พุทธศักราช ๒๓๐๖ โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ขึ้นเป็นเมืองขุขันธ์ หลวงแก้วสุวรรณ ได้เลื่อนเป็น พระไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมือง ขุขันธ์คนแรกปี พุทธศักราช ๒๓๒๐ เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เมืองขุขันธ์มีผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง ๙ คน ดังนี้
๑. พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ ) พุทธศักราช ๒๓๐๖ - ๒๓๒๑
๒. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน( เชียงขัน) พุทธศักราช ๒๓๒๑ - ๒๓๒๕
๓. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน( ท้าวบุญจันทร์) พุทธศักราช ๒๓๒๕ - ๒๓๖๙
๔. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน( เชียงฆะหรือเกา) พุทธศักราช ๒๓๖๙ - ๒๓๙๓
๕. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน( ท้าวใน) พุทธศักราช ๒๓๙๓ - ๒๓๙๓
๖. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน( ท้าวนวน) พุทธศักราช ๒๓๙๓ - ๒๓๙๔
๗. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน( ท้าวกิ่ง) พุทธศักราช ๒๓๙๔ - ๒๓๙๕
๘. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน( ท้าววัง) พุทธศักราช ๒๓๙๕ - ๒๔๒๖
๙. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน( ท้าวปัญญา ขุขันธิน) พุทธศักราช ๒๔๒๖ - ๒๔๔๐ปี

พุทธศักราช ๒๔๔๐ โปรดเกล้าฯ เปลี่ยนตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ เป็นตำแหน่ง ผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์ปี พุทธศักราช ๒๔๔๙ ย้ายศาลากลางเมืองขุขันธ์ไปตั้งบริเวณศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ แต่ยังคงใช้ชื่อ ศาลากลางเมืองขุขันธ์ เปลี่ยนชื่ออำเภอขุขันธ์ เป็นอำเภอห้วยเหนือปี พุทธศักราช ๒๔๕๐ ยุบเมืองศรีสะเกษและเมืองเดชอุดม โดยให้อำเภอที่ขึ้นกับเมืองทั้งสองไปขึ้นกับเมืองขุขันธ์ปี พุทธศักราช ๒๔๕๙ โปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเมืองขุขันธ์ เป็นชื่อจังหวัดขุขันธ์ปี พุทธศักราช ๒๔๘๑ เปลี่ยนชื่อจังหวัดขุขันธ์ เป็นชื่อจังหวัดศรีสะเกษ เปลี่ยนชื่ออำเภอห้วยเหนือ เป็นชื่ออำเภอขุขันธ์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

เปิดตัวเวบไซต์ศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนเมืองขุขันธ์

ด้วยโรงเรียนศรีตระกูลวิทยาได้รับงบประมาณจาก สพฐ.จำนวน หนึ่งแสนแปดหมื่นแปดพันบาท เพื่อจัดทำสื่อการเรียนรู้ประวติศาสตร์ในชุมชน เพื่อใช้จัดการเรียนการสอนในภาคเรียนที่ 1/2553 และหนึ่งในกิจกรรมการผลิตสื่อประวัติศาสตร์นั้น คณะทำงานได้จัดทำเวบไซต์ศูนย์การการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในชุมชนเพื่อรวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นเมืองขุขันธ์มาไว้สำหรับการศึกษาค้นคว้า ที่ URL http://210.1.61.15/~sritakoom2 จึงขอประชาสัมพันธ์เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจได้เข้าชม


ประวัติศาสตร์ คือ เหตุการณ์ที่เป็นมาในอดีตหรือเรื่องราวต่าง ๆ ของประเทศชาติ ตามที่ได้บันทึก
ไว้เป็นหลักฐาน
ดังนั้นการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในอดีตจึงสอนเฉพาะเรื่องราวของ ประเทศชาติเป็นสำคัญโดยขาดการสอนให้เกิดการเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแต่เน้นการสอนตาม ที่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานเท่านั้นจึงทำให้ ขาดการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของตนเอง การ
เรียนรู้ซึ้งถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นความจำ เป็นและสำคัญอย่างยิ่ง การศึกษาและการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจะทำให้คนรู้ถึงภูมิหลังของตน เองมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการเคารพและภาคภูมิใจในตนเองและในขณะเดียวกันก็จะเกิดการ เคารพบุคคลอื่นด้วย ประการสำคัญการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นทำให้เรารู้ถึงอดีตซึ่งจะนำไป สู่การ มีความสามารถที่จะกำกับและจัดการกับปัจจุบันได้อันจะนำไปสู่การพัฒนาตน พัฒนาท้องถิ่นในอนาคตต่อไปได้ดังนั้น ทุกคนจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของตนเอง
ผู้ที่ได้รับการศึกษาในระดับสูงๆ แล้วส่วนใหญ่จะไม่ยอมกลับถิ่นฐานเดิมอันเป็นแผ่นดินเกิดแต่กลับไปกระจุก ประกอบอาชีพอยู่ในเมืองใหญ่ ๆทำให้ท้องถิ่นชนบทขาดผู้นำในการพัฒนาอันส่งผลให้เกิดปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย หนึ่งในหลาย ๆ สาเหตุเกิดจากการที่คนในท้องถิ่นขาดการเรียนรู้ขาดการศึกษาประวัติศาสตรท้อง ถิ่นของตนเองนั่นเอง